ฟันแท้ทุกซี่ของเรานั้นมีความสำคัญอย่างมาก หากต้องสูญเสียไปแม้เพียงซี่ใดซี่หนึ่ง ก็จะทำให้คุณภาพชีวิตแย่ลงได้เพราะซี่ที่เหลือขาดความมั่นคงไปจนทำให้เกิดปัญหาตั้งแต่ประสิทธิภาพในการบดเคี้ยวอาหารไปจนถึงความมั่นใจที่น้อยลง หลายคนต่อให้ดูแลสุขภาพฟันเป็นอย่างดีแล้วก็อาจต้องเสียฟันไปได้ตามธรรมชาติเมื่ออายุมากขึ้นแล้วประสบปัญหาฟันแตก ฟันโยก หรือฟันผุจนทะลุโพรงประสาท การทำรากฟันเทียมจึงเป็นทางออกที่ดีที่สุดในการแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ เพราะมีคุณสมบัติเหมือนรากฟันแท้ มั่นคง แข็งแรง ใส่แล้วไม่รู้ นิยมทำกันมากในปัจจุบัน และไม่ได้ยุ่งยากอย่างที่บางคนคิดเนื่องจากเทคโนโลยีสมัยนี้เจริญรุดหน้าไปมากแล้ว
การทำรากฟันเทียมเป็นอย่างไร ทันตแพทย์จะผ่าตัดใส่รากเทียมรูปร่างคล้ายสกรูที่ทำจากโลหะประเภทไทเทเนียม ซึ่งมีการวิจัยมาแล้วว่าไม่มีอันตรายต่อร่างกายและเข้ากันได้ดีกับเนื้อเยื่อมนุษย์ แข็งแรงทนทาน รับแรงบดเคี้ยวได้ดี ความหนาประมาณ 3-5 มม. ยาวประมาณ 8-16 มม. เข้าไปในขากรรไกรเพื่อทดแทนฟันซี่ที่สูญเสียไป มีทั้งแบบถอดได้และแบบยึดติดแน่น
รากฟันเทียมเหมาะกับใคร ไม่เหมาะกับใครบ้าง เหมาะกับคนที่อายุ 18 ปีขึ้นไปแล้วเท่านั้น เนื่องจากกระดูกขากรรไกรเจริญเติบโตเต็มที่แล้ว เพราะเมื่อฝังรากเทียมลงไปแล้วจะไม่สามารถเปลี่ยนตำแหน่งได้อีก เหมาะกับคนที่มีปัญหาฟันแตก หัก บิ่น แล้วจำเป็นต้องถอนฟันแท้ออกเพื่อหาฟันใหม่มาทดแทน เหมาะกับคนที่เคยใช้ฟันปลอมแบบถอดได้แต่ไม่อยากใส่ หรือมีปัญหาฟันหลุดง่าย ออกเสียงไม่ชัดเจน กระดูกขากรรไกรเสื่อม เป็นต้น เหมาะกับคนที่ต้องการใส่ฟันแค่ซี่เดียว ฟันที่เหลือยังอยู่ในสภาพดี ไม่เหมาะกับคนที่ระบบต่างๆ ในร่างกายไม่ดี เช่น เบาหวาน ความดันเลือดสูง มีโรคหัวใจ โรคระบบภูมิคุ้มกันบกพร่อง ไม่เหมาะกับคนที่ทานยารักษากระดูกพรุน ไม่เหมาะกับคนที่มีปัญหาช่องปาก เช่น เหงือกมีอาการอักเสบ ติดเชื้อ
ทำแล้วเจ็บไหม การฝังรากฟันเทียมนั้นมีความแตกต่างกันไปในแต่ละราย มีการใช้ยาชาเฉพาะที่ ซึ่งจะเจ็บเฉพาะตอนฉีดยาแต่จะไม่เจ็บตอนผ่าตัด หลังจากผ่าเสร็จแล้วจะมีความเจ็บปวดใกล้เคียงกับการถอนฟัน แต่อาจมากน้อยต่างกันไป ขึ้นอยู่กับลักษณะของกระดูก คุณภาพของกระดูก เนื้อเยื่อเหงือก เป็นต้น
ใช้งานได้นานแค่ไหน ดูแลยังไงดี หลังจากทำรากฟันเทียมแล้ว รากเทียมจะอยู่ได้นาน 10 ปี หรือนานกว่านั้น ขึ้นอยู่กับการดูแลรักษาความสะอาดช่องปากของเรา หลังจากใส่รากเทียมแล้วจำเป็นต้องแปรงฟันอย่างถูกวิธีและใช้ไหมขัดฟันเพื่อทำความสะอาดซอกฟันอย่างหมดจด ไปพบทันตแพทย์อย่างสม่ำเสมอทุกๆ 6 เดือนหรือตามนัดเพื่อเช็กคุณภาพรากฟัน และทำตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด
|